....เมื่อลงจากเขามาแล้วถึงสามแยกอำเภอเด่นชัย เลี้ยวขวาเข้าจังหวัด แพร่ ตะวันก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว มีสายหมอกจาง ๆ ปรกคลุมอยู่ทั่วไป เราแวะเข้าปั้มก่อนถึงตัวเมืองแพร่เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้า,แปรงฟัน ทำภาระกิจส่วนตัว เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ เมื่อเปิดประตูก้าวออกจากรถ ผิดหวังเล็กน้อยที่อากาศเช้าวันนี้ไม่หนาวเท่าไหร่ แค่เย็น ๆ พอๆกับแอร์ในรถเลย เอ...หรือเป็นเพราะแอร์มันเย็นจัด จนรู้สึกหนาวมาทั้งคืน!!
"แต่ไม่หนาวก็ดีแล้วหล่ะชาญ พี่กลัวหนาวมาก..พี่เป็นคนขี้หนาว" พี่หลวยพูด
"คงไม่ต้องกลัวแล้วพี่หลวย ดูท่าทางแล้ว ปีใหม่ปีนี้สงสัยจะไม่หนาว" ผมพูด
"อ้าวว..เด็ก เด็ก ไปล้างหน้าแปรงฟันกันเร๊ววว.." คุณแม่ต้อมเร่งลูกๆ "แล้วแปรงของหนูล่าค้า.." น้องฝ้ายถามขณะบิดขี้เกียจอยู่ข้างรถ
"น้องฝ้ายๆ "น้องเดียร์ร้องเสียงดังจากในรถ "มีควันออกปากฝ้ายด้วย"
"เออ จริงด้วย" เราแทบจะพูดพร้อมกัน "มีจริงๆด้วยนะป้าหลวย..เฮาะ เอาะ"น้องฝ้ายพูดพร้อมกับเป่าปากใกล้ๆ
"โอ้โห.." พี่หลวยร้อง "ใช่...แถมกลิ่นขี้ฝันให้ป้าหลวยดมด้วย ไปแปรงฝันกันได้แล้ว...เดียร์ด้วย ไม่ลงจากรถซะทีละเดียร์"
"เป็นไง?น้องเดียร์" นุ้ยถาม"เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือจ๊า สู้พี่หนึ่งไม่ได้..นั่งเบาะหลังรถน้านุ้ยคนเดียว นอนสบายเลย"
"แล้ว โจ้ล่ะ เมื่อคืนง่วงบ้างไหม?" ผมถาม "ก็มีบ้าง ช่วงตีสาม,ตีสี่ ต้องฝืนเหมือนกันครับ" โจ้ตอบ
....หลังจากเสร็จภาระกิจกันแล้วแถมมาด้วยกาแฟสดเย็นๆอีกหนึ่งแก้ว เราจึงออกเดินทางกันต่อโดยผมยังเป็นคนขับนำเหมือนเดิม จุดหมายแรกของเราวันนี้ เราจะเข้าไปเที่ยว อช.ศรีน่าน, เสาดินนาน้อย ที่อำเภอนาน้อย โดยเส้นทางปรกติที่คนทั่วไปใช้เดินทางคือผ่านอำเถอร้องกวางไปอำเภอเวียงสา แล้วย้อนลงมานาน้อย รวมระยะทางประมาณ 110 กม. แต่ผมเลือกที่จะใช้เส้นทางลัด จากร้องกวางไป นาน้อย (ทางหลวง 1216) เพื่อล่นระยะทางให้สั้นลงไปเกือบ 50กม. โดยที่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ถนนเส้นนี้ที่มันขดขยุกขยิกอยู่ในแผนที่นั้นมันเกิดจากอะไร?
จากอำเภอร้องกวางมาประมาณ 20 กม.ก็เลี้ยวขวาเข้าใช้ถนนสาย 1216 ที่ตรงปากทางมีป้ายบอกทางไป อช.ขุนสถาน ซึ่งเวลานั้นยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเนื่องจากเป็น อช. ที่เพิ่งประกาศตั้งใหม่ๆ รู้แต่ อช.ขุนน่าน ที่อำเภอบ่อเกลือ แต่ไม่เห็นป้ายบอกว่าไปนาน้อย เพื่อความมั่นใจว่าเส้นทางนี้จะพาเราไปถึงอำเถอนาน้อยได้ ผมจึงจอดถามทางกับชาวบ้านที่เดินอยู่ข้างทาง พอได้รับการยืนยันว่าไปนาน้อยได้ ผมจึงหันหน้ากลับมาและทันได้เห็นท้ายรถสีบรอนซ์เงินของโจ้กำลังจะแว็บหายเข้าไปในโค้งข้างหน้า..."อ้าว...นั่นโจ้ออกหน้าไปแล้ว!" ผมร้องบอก ต้อมกับพี่หลวยละสายตาจากชาวบ้านข้างทางมองไปข้างหน้าทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
"เฮ้ย..โจ้ทำไมไม่รอเลยว๊ะ!" ต้อมพูด ขณะที่ผมรีบออกรถทันทีเพื่อจะได้ตามให้ทัน
"สงสัยโจ้จะรีบไปดูทะเลหมอกแน่เลย" พี่หลวยพูดแซวขึ้น และเมื่อพ้นโค้งมาเราทุกคนต่างจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า โดยหวังว่าจะได้เห็นท้ายรถของโจ้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะข้างหน้าไม่ไกลก็เป็นทางโค้งอีก นี่คือการเริ่มต้นของโค้งที่สองในจำนวนสี่ร้อยกว่าโค้งเท่านั้น (ตามป้ายที่บอกไว้ข้างทาง) ผมพยายามเร่งความเร็วมากขึ้นเท่าที่ยังรู้สึกปลอดภัย หวังว่าจะได้เห็นท้ายรถโจ้ทุกโค้ง ตั้งแต่โค้งที่สอง โค้งที่สาม โค้งที่ห้า โค้งที่สิบ...ไม่เห็น!! "ไหนโจ้บอกว่าไม่ชำนาญขับบนเขา?"ผมนึกในใจ
"โอย...นี่โจ้จะรีบอะไรขนาดนั้น...หา?" พี่หลวยพูด "ไม่ยอมรอกันเลย" ต้อมเสริม จากนั้นพี่หลวยก็ใช้โทรศัพโทรหา
"ไม่มีคลื่นอ่ะ.." พี่หลวยบ่น "นี่จังหวัดน่านน้า..พี่หลวย ไม่ใช่พัทยาค่า.." ต้อมพูดแหย่ "มีทะเลเหมือนกัน" ผมเสริมบ้าง "ทะเลภูเขาไงเล่า..ดูซิสุดลูกหูลูกตาเลย" (...เงียบ...)
ความหวังที่จะเห็นรถโจ้ลดน้อยลง จนเลิกหวังในที่สุดพร้อมกับความทึ่งในความสามารถของโจ้ ผมผ่อนความเร็วลง คลายความตึงเครียดจากการเร่งไล่ตาม การขับรถเร็วบนทางภูเขาเป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้ายังขืนขับเร็วต่อไปอีก อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะถึงอย่างไรแล้วเราคงจะต้องไปพบกันที่ อช.ศรีน่านตามที่วางแผนกันไว้นั่นเอง
....ถนนสาย 1216 วกวนไปมาไต่ความสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นทางแคบไม่มีไหล่ทาง โค้งหลายโค้งเป็นโค้งหักศอก ไม่มีราวเหล็กกั้น มีเพียงเสาหลักปักให้เห็นแนวขอบถนนเท่านั้น ถ้าหลุดจากหลักนี้ไปก็...หายนะครับ สภาพของภูเขาเป็นเขาหัวโล้นเกือบทั้งหมด จนนึกไม่ออกเลยว่าสภาพป่าไม้เมื่อก่อนนั้นเป็นอย่างไร เนินเขาหลายๆลูกมีร่องรอยการทำไร่ข้าวโพด น่าทึ่งกับคนทำไร่เหล่านี้มาก เพราะความลาดเอียงน่าเกือบ 45 องค์ศา เขาก็ยังทำกันได้เฉยเลย ความเอียงขนาดนั้นอย่างพวกเราๆแค่ยืนทรงตัวเฉยๆ ยังยาก....
ถนนช่วงที่น่าจะเป็นช่วงสูงสุดผ่านหมู่บ้านชาวเขา ชื่อ"ขุนสถาน" ถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านอยู่บนเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นชาวเขาได้หรือไม่ เพราะดูผ่านๆทั้งบ้านที่อยู่อาศัยและการแต่งกาย ไม่เห็นมีอะไรที่เป็นสัญญาลักษณ์ของชนเผ่าเลย คล้ายกับคนในชนบทในพื้นราบทั่วไปนั่นเอง เลยหมู่บ้านมาเล็กน้อย เราก็เห็นแปลงกะหลำปลีแปลงใหญ่เต็มทั้งเนินเขาข้างทาง
"โอโฮ...ดูแปลงกะหล่ำสิ เขาทั้งลูกเลยน่ะ" ผมบอกกับทุกคน "พักรถถ่ายรูปสักแป๊ปหนึ่งนะ"
"เออ เหมือนที่เขาค้อเลยเน๊อะ"พี่หลวยพูด "พี่หลวยเคยไปมาแล้วเหรอ!..พูดเหมือนเคยไปเลย" ต้อมแกล้งถาม
"พี่เคยเห็นในโทรทัศน์ แหม..ถ้ารถชาญเป็นปิคอัปก็ดีซินะ ซื้อจากคนปลูกต้องถูกมากแน่ ๆ เลย" พี่หลวยพูดเรื่อย...
เลยจากนั้นมาไม่ไกลก็ถึง อช.ขุนสถาน ทางขึ้นอยู่ทางขวามือ ต้องขับขึ้นไปอีกหน่อย แต่บังเอิญมันไม่ได้อยู่ในแผนตั้งแต่แรก ผมจึงขับผ่านไป มุ่งหน้าสู่อำเภอนาน้อย เส้นทางเริ่มลดระดับลงแต่ยังคงคดเคี้ยวเหมือนเดิม ..นี่เป็นคำเฉลยของเส้นขยุกขยิกในแผนที่ ที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจไปอีกนาน
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เมือง น่าน เมื่อนานมาแล้ว 3
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น