....เมื่อลงจากเขามาแล้วถึงสามแยกอำเภอเด่นชัย เลี้ยวขวาเข้าจังหวัด แพร่ ตะวันก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว มีสายหมอกจาง ๆ ปรกคลุมอยู่ทั่วไป เราแวะเข้าปั้มก่อนถึงตัวเมืองแพร่เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้า,แปรงฟัน ทำภาระกิจส่วนตัว เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ เมื่อเปิดประตูก้าวออกจากรถ ผิดหวังเล็กน้อยที่อากาศเช้าวันนี้ไม่หนาวเท่าไหร่ แค่เย็น ๆ พอๆกับแอร์ในรถเลย เอ...หรือเป็นเพราะแอร์มันเย็นจัด จนรู้สึกหนาวมาทั้งคืน!!
"แต่ไม่หนาวก็ดีแล้วหล่ะชาญ พี่กลัวหนาวมาก..พี่เป็นคนขี้หนาว" พี่หลวยพูด
"คงไม่ต้องกลัวแล้วพี่หลวย ดูท่าทางแล้ว ปีใหม่ปีนี้สงสัยจะไม่หนาว" ผมพูด
"อ้าวว..เด็ก เด็ก ไปล้างหน้าแปรงฟันกันเร๊ววว.." คุณแม่ต้อมเร่งลูกๆ "แล้วแปรงของหนูล่าค้า.." น้องฝ้ายถามขณะบิดขี้เกียจอยู่ข้างรถ
"น้องฝ้ายๆ "น้องเดียร์ร้องเสียงดังจากในรถ "มีควันออกปากฝ้ายด้วย"
"เออ จริงด้วย" เราแทบจะพูดพร้อมกัน "มีจริงๆด้วยนะป้าหลวย..เฮาะ เอาะ"น้องฝ้ายพูดพร้อมกับเป่าปากใกล้ๆ
"โอ้โห.." พี่หลวยร้อง "ใช่...แถมกลิ่นขี้ฝันให้ป้าหลวยดมด้วย ไปแปรงฝันกันได้แล้ว...เดียร์ด้วย ไม่ลงจากรถซะทีละเดียร์"
"เป็นไง?น้องเดียร์" นุ้ยถาม"เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือจ๊า สู้พี่หนึ่งไม่ได้..นั่งเบาะหลังรถน้านุ้ยคนเดียว นอนสบายเลย"
"แล้ว โจ้ล่ะ เมื่อคืนง่วงบ้างไหม?" ผมถาม "ก็มีบ้าง ช่วงตีสาม,ตีสี่ ต้องฝืนเหมือนกันครับ" โจ้ตอบ
....หลังจากเสร็จภาระกิจกันแล้วแถมมาด้วยกาแฟสดเย็นๆอีกหนึ่งแก้ว เราจึงออกเดินทางกันต่อโดยผมยังเป็นคนขับนำเหมือนเดิม จุดหมายแรกของเราวันนี้ เราจะเข้าไปเที่ยว อช.ศรีน่าน, เสาดินนาน้อย ที่อำเภอนาน้อย โดยเส้นทางปรกติที่คนทั่วไปใช้เดินทางคือผ่านอำเถอร้องกวางไปอำเภอเวียงสา แล้วย้อนลงมานาน้อย รวมระยะทางประมาณ 110 กม. แต่ผมเลือกที่จะใช้เส้นทางลัด จากร้องกวางไป นาน้อย (ทางหลวง 1216) เพื่อล่นระยะทางให้สั้นลงไปเกือบ 50กม. โดยที่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ถนนเส้นนี้ที่มันขดขยุกขยิกอยู่ในแผนที่นั้นมันเกิดจากอะไร?
จากอำเภอร้องกวางมาประมาณ 20 กม.ก็เลี้ยวขวาเข้าใช้ถนนสาย 1216 ที่ตรงปากทางมีป้ายบอกทางไป อช.ขุนสถาน ซึ่งเวลานั้นยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเนื่องจากเป็น อช. ที่เพิ่งประกาศตั้งใหม่ๆ รู้แต่ อช.ขุนน่าน ที่อำเภอบ่อเกลือ แต่ไม่เห็นป้ายบอกว่าไปนาน้อย เพื่อความมั่นใจว่าเส้นทางนี้จะพาเราไปถึงอำเถอนาน้อยได้ ผมจึงจอดถามทางกับชาวบ้านที่เดินอยู่ข้างทาง พอได้รับการยืนยันว่าไปนาน้อยได้ ผมจึงหันหน้ากลับมาและทันได้เห็นท้ายรถสีบรอนซ์เงินของโจ้กำลังจะแว็บหายเข้าไปในโค้งข้างหน้า..."อ้าว...นั่นโจ้ออกหน้าไปแล้ว!" ผมร้องบอก ต้อมกับพี่หลวยละสายตาจากชาวบ้านข้างทางมองไปข้างหน้าทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
"เฮ้ย..โจ้ทำไมไม่รอเลยว๊ะ!" ต้อมพูด ขณะที่ผมรีบออกรถทันทีเพื่อจะได้ตามให้ทัน
"สงสัยโจ้จะรีบไปดูทะเลหมอกแน่เลย" พี่หลวยพูดแซวขึ้น และเมื่อพ้นโค้งมาเราทุกคนต่างจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า โดยหวังว่าจะได้เห็นท้ายรถของโจ้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะข้างหน้าไม่ไกลก็เป็นทางโค้งอีก นี่คือการเริ่มต้นของโค้งที่สองในจำนวนสี่ร้อยกว่าโค้งเท่านั้น (ตามป้ายที่บอกไว้ข้างทาง) ผมพยายามเร่งความเร็วมากขึ้นเท่าที่ยังรู้สึกปลอดภัย หวังว่าจะได้เห็นท้ายรถโจ้ทุกโค้ง ตั้งแต่โค้งที่สอง โค้งที่สาม โค้งที่ห้า โค้งที่สิบ...ไม่เห็น!! "ไหนโจ้บอกว่าไม่ชำนาญขับบนเขา?"ผมนึกในใจ
"โอย...นี่โจ้จะรีบอะไรขนาดนั้น...หา?" พี่หลวยพูด "ไม่ยอมรอกันเลย" ต้อมเสริม จากนั้นพี่หลวยก็ใช้โทรศัพโทรหา
"ไม่มีคลื่นอ่ะ.." พี่หลวยบ่น "นี่จังหวัดน่านน้า..พี่หลวย ไม่ใช่พัทยาค่า.." ต้อมพูดแหย่ "มีทะเลเหมือนกัน" ผมเสริมบ้าง "ทะเลภูเขาไงเล่า..ดูซิสุดลูกหูลูกตาเลย" (...เงียบ...)
ความหวังที่จะเห็นรถโจ้ลดน้อยลง จนเลิกหวังในที่สุดพร้อมกับความทึ่งในความสามารถของโจ้ ผมผ่อนความเร็วลง คลายความตึงเครียดจากการเร่งไล่ตาม การขับรถเร็วบนทางภูเขาเป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้ายังขืนขับเร็วต่อไปอีก อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะถึงอย่างไรแล้วเราคงจะต้องไปพบกันที่ อช.ศรีน่านตามที่วางแผนกันไว้นั่นเอง
....ถนนสาย 1216 วกวนไปมาไต่ความสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นทางแคบไม่มีไหล่ทาง โค้งหลายโค้งเป็นโค้งหักศอก ไม่มีราวเหล็กกั้น มีเพียงเสาหลักปักให้เห็นแนวขอบถนนเท่านั้น ถ้าหลุดจากหลักนี้ไปก็...หายนะครับ สภาพของภูเขาเป็นเขาหัวโล้นเกือบทั้งหมด จนนึกไม่ออกเลยว่าสภาพป่าไม้เมื่อก่อนนั้นเป็นอย่างไร เนินเขาหลายๆลูกมีร่องรอยการทำไร่ข้าวโพด น่าทึ่งกับคนทำไร่เหล่านี้มาก เพราะความลาดเอียงน่าเกือบ 45 องค์ศา เขาก็ยังทำกันได้เฉยเลย ความเอียงขนาดนั้นอย่างพวกเราๆแค่ยืนทรงตัวเฉยๆ ยังยาก....
ถนนช่วงที่น่าจะเป็นช่วงสูงสุดผ่านหมู่บ้านชาวเขา ชื่อ"ขุนสถาน" ถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านอยู่บนเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นชาวเขาได้หรือไม่ เพราะดูผ่านๆทั้งบ้านที่อยู่อาศัยและการแต่งกาย ไม่เห็นมีอะไรที่เป็นสัญญาลักษณ์ของชนเผ่าเลย คล้ายกับคนในชนบทในพื้นราบทั่วไปนั่นเอง เลยหมู่บ้านมาเล็กน้อย เราก็เห็นแปลงกะหลำปลีแปลงใหญ่เต็มทั้งเนินเขาข้างทาง
"โอโฮ...ดูแปลงกะหล่ำสิ เขาทั้งลูกเลยน่ะ" ผมบอกกับทุกคน "พักรถถ่ายรูปสักแป๊ปหนึ่งนะ"
"เออ เหมือนที่เขาค้อเลยเน๊อะ"พี่หลวยพูด "พี่หลวยเคยไปมาแล้วเหรอ!..พูดเหมือนเคยไปเลย" ต้อมแกล้งถาม
"พี่เคยเห็นในโทรทัศน์ แหม..ถ้ารถชาญเป็นปิคอัปก็ดีซินะ ซื้อจากคนปลูกต้องถูกมากแน่ ๆ เลย" พี่หลวยพูดเรื่อย...
เลยจากนั้นมาไม่ไกลก็ถึง อช.ขุนสถาน ทางขึ้นอยู่ทางขวามือ ต้องขับขึ้นไปอีกหน่อย แต่บังเอิญมันไม่ได้อยู่ในแผนตั้งแต่แรก ผมจึงขับผ่านไป มุ่งหน้าสู่อำเภอนาน้อย เส้นทางเริ่มลดระดับลงแต่ยังคงคดเคี้ยวเหมือนเดิม ..นี่เป็นคำเฉลยของเส้นขยุกขยิกในแผนที่ ที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจไปอีกนาน
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เมือง น่าน เมื่อนานมาแล้ว 3
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เมือง น่าน เมื่อนานมาแล้ว 2

รถสองคันนัดมาเจอกันที่ปั้มนำมัน ปตท ถนนราชพฤกแถวตลิ่งชันเมื่อเวลาเกือบจะห้าทุ่ม เป็นเวลาดึกไปสักหน่อย แต่ก็เป็นการเฉลี่ยรถที่ส่วนใหญ่จะออกไปตั้งแต่หัวคำ และจะไปหนาแน่นอีกครั้งตอนเช้ามืด ถึงแม้ว่าจะดึกแล้วแต่ภายในปั้มที่สว่างไสวราวกับกลางวันก็ยังคึกคัก มีรถจอดเกือบเต็มที่จอด ร้านสะดวกซื้อก็เป็นสวรรค์น้อยๆ ของเด็กๆ (รวมทั้งผู้ใหญ่อย่างเราด้วยแหล่ะ) เราซื้อของกิน ของขบเคี้ยว กาแฟเย็นกันง่วงเตรียมพร้อมไว้เป็นเสบียงระหว่างการเดินทาง ผมบอกกับโจ้ว่าคือนี้เราจะใช้เส้นทาง ถนนวงแหวนตะวันตก-บางบัวทอง-สุพรรณบุรี-ชัยนาท แล้วใช้พหลโยธินเข้านครสวรรค์-พิษณุโลก-อุตรดิตรถ์-แพร่ ถึงอำเภอร้องกวางแล้วลัดเข้าอำเภอนาน้อย เพื่อเข้าไปเที่ยวที่ อช.ศรีน่าน "ถ้าโชคดี (มากๆ)เราอาจจะได้ทันเห็นทะเลหมอก"
นี่เป็นครั้งแรกที่มีรถร่วมเดินทางไกลไปด้วยกัน เป็นเรื่องใหม่ที่ต้องเรียนรู้จากประสพการณ์จริง เนื่องจากเราทั้งสองคนไม่เคยใช้เส้นทางนี้มาก่อนเราจึงเลือกที่จะใช้วิธีขับตามกันไป ซึ่งยากหน่อยเพราะรถมากมีโอกาสหลงกันได้ง่ายๆ แต่ก็จะหากันเจอได้ด้วยโทรศัทพ์มือถือ หรือถ้าเราคุ้นเคยกับเส้นทางดีจะใช้วิธีกำหนดจุดนัดพบก่อน แล้วต่างคนต่างไปไม่ต้องคอยพะวงมองหากันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สะดวกไม่น้อย
จากถนนวงแหวนเลี้ยวซ้ายถนนสาย 340 มุ่งหน้าสู่สุพรรณบุรี รถน้อยคล่องตัวทำความเร็วได้มาก ไฟสว่าง ทางดีเหลือเกิน เป็นสิ่งบอกเหตุว่าเข้าเขตเมืองสุพรรณบุรีแล้ว จากนั้นมุ่งหน้าขึ้น สู่ชัยนาท ถนนเมื่อออกจากตัวเมืองสุพรรณมาสักพักก็เปลี่ยนเป็นสี่เลนส์และเริ่มมีโค้งมาปลุกให้คนขับตื่นตัวกันหน่อย สองโค้ง,สามโค้งยังพอว่าแต่นี่เล่นโค้งตลอด เดี๋ยวโค้งซ้าย โค้งขวา กลับมาโค้งซ้าย แล้วโค้งขวา ผมชักห่วงผู้โดยสารของผมแล้วสิ อ้าว...โค้งซ้ายอีกแล้ว ตามด้วยโค้งขวา แล้วเจอโค้งซ้ายอี๊ก...ยัง...ยังจะโค้งขวาอีกแน๊...โอ้โห...จนจะเข้าตัวเมืองชัยนาทนั่นแหล่ะถึงหมดโค้ง ซึ่งมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะรถเราได้รับพิษจากทางโค้งมาเต็มๆ ทำให้ผู้โดยสารทุกคนพากันหลับไหลไปจนหมดสิ้น...
ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพมาจราจรไหลลื่นตลอดถึงแม้ว่าโค้งจะเยอะไปบ้าง แต่พอถนนมาบรรจบกับถนนพหลโยธิน เราก็ต้องขับมาพบกับสภาพการจราจรช่วงวันหยุดเทศกาลที่แท้จริง คือรถติดขัดมาตลอดจากชัยนาทจนถึงนครสวรรค์ และพฤติกรรมเดิม ๆ ของคนขับรถก็ถูกงัดออกมาใช้ แซงไหล่ทางพอถึงคอสะพานก็ขอเบียดเข้า จากสามเลนส์เพิ่มเป็นห้าเลนส์ ดูสับสน อลม่านไปหมด และช่วงนี้แหล่ะที่ผมกับโจ้หลงกันจนได้ พี่หลวยกับแฟนผมตื่นมาช่วยโทรตามหานุ้ยถามตำแหน่งกันแล้วนัดพบกันที่ปั้มข้างหน้าที่มีคนและรถจอดกันแน่นปั้มเพื่อผ่อนคลายเปลี่ยนอริยาบทกันก่อนออกไปเผชิญการจราจรที่คับครั่งกันต่อไป...
จากนครสวรรค์ใช้ถนนสาย 117 มุ่งสู่พิษณุโลก การจราจรยังหนาแน่นแต่ก็คล่องตัวมากขึ้น เราแวะปั้มพักยืดเส้นยืดสายที่นี่อีกครั้ง ก่อนเข้าตัวเมืองพษิณุโลกใช้ทางเลี่ยงเมืองขึ้นสู่อุตรดิษถ์ด้วยทางหลวง 11 ซึ่งเป็นถนนที่ตรงและยาว อัดกันได้เต็มที่หน่อย ถนนผ่านทางแยกเข้าเมืองอุตรดิษถ์ไปครู่ใหญ่ ๆ มีปั้มใหญ่ให้แวะพักกันอีกครั้ง มีคนคึกคักดีจัง ออกจากปั้มเมื่อเรีมมีแสงเรืองรองจับขอบฟ้า สักพักเดียวถนนก็เริ่มพาเราขึ้นเขาและเปลี่ยนเป็นสองเลนส์สวนกัน สองข้างทางเป็นป่ารกทึบเป็นเงาทมึนอยู่ในความสลัว เวลานี้แม้ว่าดวงตะวันยังไม่โพล่ขึ้นมาแต่ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น บรรดารถชนิดต่าง ๆ ถูกถนนบังคับให้ต้องเข้าแถวเรียงหนึ่งขับตามกันเป็นขบวน ๆ และเมื่อมีจังหวะที่ไม่มีรถสวนและ ก็จะแซงกันเป็นช่วง ๆ เมื่อผ่านบ้าน ไฮ้ฮ้า มารถผมเกิดฝ้าที่กระจกรอบคันเลย คราวนนี้มันค่อย ๆ เป็นด้านในรถและยังพอมองเห็นทางได้อยู่ ต่างจากที่เคยเจอที่ภูเรือ ตอนนั้นเป็นฝ้าด้านนอกรถเป็นแบบกระทันหันมาก มองไม่เห็นทางเลย...ตกใจซิครับ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นด้านนอกรถก็เพียงแค่เปิดที่ปัดนำฝนก็เรียบร้อย ครั้งนี้เป็นภายในรถก็ต้องอาศัยคนนั่งข้าง ๆ ช่วยเหลือคอยเช็ดให้ เพราะผมไม่มีความสามารถพอที่จะขับไปเช็ดไป ในขณะที่รถอยู่ในขบวนแถวยาว และยังเป็นทางโค้งไปมาตลอด ดีที่เราเตรียมผ้าเช็ดกระจกๆไว้ในรถตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง...........
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เมือง น่าน เมื่อนานมาแล้ว 1


ชว่งวันหยุดเทศกาลปีใหม่2550แผนการเดินทางไกลของเราก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ครั้นนี้เราจะมุ่งขึ้นเหนือแต่เป็นจังหวัดทางเหนือด้านฝั่งตะวันออก "น่าน" จังหวัดที่ดูห่างเหินและอยู่ห่างไกลเหลือเกิน ที่ผมเลือกเมืองน่านนั้นมีหลายแหตุผล แต่เหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องการหลีกเลี่ยงเหล่งท่องเที่ยวที่คนนิยมมากๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนเป็นต้น เป็นที่รู้กันดีว่าที่เหล่านี้จะมีนักท่องเที่ยวเยอะมากในช่วงวันหยุดเทศกาลสำคัญอย่างนี้ เยอะมากจนเกินความสามารถของแหล่งท่องเที่ยวนั้นจะรองรับได้ อาจจะกลายเป็นความหงุดหงิด,เบื่อหน่ายจนลดทอนความสนุกไปอย่างน่าเสียดาย แต่ด้วยหัวใจที่โหยหา ดอยสูง..สายลมหนาว..สาวสวยๆ....อืมมม... อันหลังนี่มีอยู่หน้ารถแล้ว! จึงต้องค้นหาสถานที่อื่นที่พอจะทดแทนได้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีชื่อเสียงเท่ากันก็ตาม วันหยุดอันแสนมีค่าของเราทุกคนจะได้ไม่หมดไปอย่างศูนย์เปล่า
ภาพที่อยู่ในความทรงจำของผมมานาน คือภาพของทะเลภูเขา และภาพถนนที่ทอดตัวคดเคี้ยวอยู่บนสันเขา เป็นเส้นทางที่คิดเอาไว้ว่าสักวันจะต้องไปให้ถึง แถมในช่วงฤดูหนาวยังมีอากาศหนาวให้สัมผัสได้ไม่แพ้ที่ใดๆ ในเมืองก็มีวัดวาอารามสวยงามมากมาย นั่นแหล่ะล้วนเป็นเหตุผลที่เลือกไปเที่ยวจังหวัดน่าน
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สนุก ก็คือการเตรียมข้อมูล การวางแผนการเดินทาง ที่กิน ที่พัก หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆซึ่งล้วนเป็นที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อนทั้งสิ้น เกิดจินตนาการณ์ไปก่อนล่วงหน้าแล้วไปลุ้นตอนได้เห็นของจริงว่าเหมือนอย่างที่เราคิดหรือเปล่า เห็นไม๊ว่าชักจะสนุกแล้ว นี่เพียงแค่หาข้อมูลเท่านั้นนะเนี่ย สำหรับคนชอบขับรถอย่างผมก็จะตื่นเต้นกว่าคนอื่น เพราะนี่เป็นเส้นทางใหม่และจะเดินทางกลางคืนเป็นครั้งแรก ไม่ลองดูก็ไม่ไร้ว่าเป็นอย่างไร
ผมใช้รถเก๋งมาสด้า323ซีดานอายุของเค้าแม้จะผ่านมาถึงสิบปีแล้วแต่ก็ยังยังเป้นภาหนะที่ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้เป็นอบ่างดีเหมือนอย่างทุกครั้ง ครั้งนี้นอกจากเราสามคน พ่อแม่ลูกแล้ว ก็ยังมีพี่หลวย (พี่สาวของแฟนผม) กับลูกสองคน ลูกชายคนโตชื่อพี่หนึ่ง ลูกสาวคนเล็กชื่อพี่เดียร์ที่อายุมากกว่า น้องฝ้าย ลูกสาวของเราหนึ่งปี ทำให้ทริบนี้น่าจะสนุกแน่นอน แต่ก่อนวันเดินทางหนึ่งสัปห์ดา นุ้ย กับ โจ้ สองสามีภรรยา(ญาติของ ต้อม แฟนผม) มาร่วมเดินทางโดยจะขับรถเก๋ง โตโยต้า แอนติสไปด้วยอีกหนึ่งคัน ผมต้องโทรจองห้องพักเพิ่มอีกหนึ่งห้องทั้งสองคืน,สองที่ ที่ในตัวเมืองหนึ่งคืน ที่อำเภอบัวหนึ่งคืนซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนั้นจังหวัดน่านยังไม่ใช่จุดหมายของนักท่องเที่ยวมากนัก แล้วก็ได้อาศัยถ่ายผู้โดยสารโดยให้พี่หนึ่งไปนั่งด้วย รถคันของผมก็เหลือเป็นคู่ คือคู่ของคุณแม่ และคู่ของคุณลูกสาวที่จะเม้าท์กันไปตลอดทางตราบเท่าที่เธอยังตื่นอยู่
ครอบครัวของผมกับครอบครัวพี่หลวยสามคนแม่ลูก(สามีเสียไปแล้ว)สนิทสนมกันมาก พี่หลวยเป็นคนมีอุปนิสัยสนุกสนาน เราได้ไปเที่ยวด้วยกันอย่างนี้บ่อยๆ คุณแม่มีเพื่อนเม้าท์ คุณลูกก็มีเพื่อนเล่น เรื่องค่าใช้จ่ายเราก็ช่วยกันออก คนหนึ่งออกค่าที่พัก อีกคนหนึ่งออกค่าอาหารหรือค่านำมันสลับกันไปไม่ได้ตั้งเป็นกฎแน่นอน และก็ไม่เกี่ยงกันว่าใครจะต้องจ่ายมากกว่าหรือน้อยกว่ากัน มีแต่จะใช้ชั้นเชิงในการแย่งชิงกันจ่าย จนถึงขั้นบางครั้งคุณแม่สองพี่น้องงอนกันไปหลายอึดใจเพราะถูกอีกฝ่ายชิงจ่ายค่าอาหารตัดหน้าไปแบบฉิวเฉียด....
ช่วงเวลาก่อนจะหยุดปีใหม่สี่วัน จะเป็นช่วงที่งานยุ่งมากๆ ไหนจะต้องเคลียร์งาน ไหนจะเตรียมรถ,เตรียมตัวเรื่องเที่ยวอีก(ผมเป็นคนวางแผนการเที่ยวเองทั้งหมด) แต่แม้ว่าจะยุ่งอย่างไร ผมก็ต้องหาเวลาไปซื้อกล้องถ่ายรูป เป็นของ nikon D80 พร้อมเลนส์ชุดคิต 18-135 มาหนึ่งตัว เป็นรุ่นที่เพิ่งออกมาใหม่ๆเลย ราคารวมเลนส์เกือบห้าหมื่นบาท บอกตามตรงว่ากัดฟันซื้อครับ อดใจมานานแล้วตอนนี้แหล่ะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด ที่กล้าซื้อก็เพราะชอบถ่ายรูปมากพอสมควร เคยใช้กล้องฟีล์มมาก่อนนานแล้ว ถึงเวลาต้องเปลี่ยนให้ทันกับยุคสมัยของดิจิตอลเสียที.......เราจะเดินทางในตอนต่อไปครับ
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
รถพร้อมแล้ว ใครจะไปเที่ยวด้วยกันบ้าง
ในการท่องเที่ยวแต่ละครั้งนั้น จะมีเราสามคนพ่อแม่ลูกเป็นหลัก และจะมีคนที่ร่วมเดินทางอีกต่างหากเปลี่ยนหน้ากันไป ครั้งแรกที่เดินทางไกลคือครั้งที่ขับไปเที่ยวชุมพร ตอนนั้นลูกสาวผมอายุเพิ่งจะขวบกว่าๆ เกือบจะไปไม่ถึงชุมพร! ขับไปถึงแถวอำเภอท่ายางเจอรถมอเตอร์ไซด์ข้ามร่องเกาะกลางถนนตัดหน้า แม้จะไม่กระชั้นชิดนัก มีรถเก๋งอยู่ข้างหน้าผมหนึ่งคัน เค้าเบรก ผมก็เบรกตาม แต่ด้วยความมือใหม่ผสมกับความตื่นเต้นผมก็เหยียบเบรก(อย่างหนักหน่วง) ล้อก็ล็อค..เสียงเอี๊ยยยยด..ลั่นถนน ผสานกับเสียงวี๊ดว๊ายดังลั่นภายในรถ กลิ่นยางไหม้ที่เกิดจากการเสียดสีกับถนนเหม็นฟุ้งเข้ามาในรถที่กำลังไถลเข้าหาท้ายรถคันหน้า ผมกระตุกพวงมาลัยมาทางซ้ายพร้อมกับถอนเท้าออกจากแป้นเบรก รถวูบตาม กระตุกพวงมาลัยกลับมาทางขวาอีกที รถก็วูบตามมาทางขวาอีกครั้ง..กว่าจะประคองรถอยู่..มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่ทำเอาเกือบถึงหายนะ ทุกคนใจหายใจควำกับเหตุการณ์นี้ แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ ยกเว้นลูกสาวปากกระแทกมีเลือดซิบๆ โชคดีที่รถคันหลังตามมาห่างหน่อย เค้าจึงชลอรถได้ทันขณะที่ผมกำลังตุปัดตุเป๋อยู่กลางถนน
เหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้ทำให้เข็ด หรือไม่กล้าขับรถไกลๆอีก แต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ไม่เพลิดเพลินกับการขับจนขาดการตื่นตัวเตรียมพร้อมรับกับเหตุไม่คาดฝัน เตรียมความพร้อมทั้งรถและคนขับ จากวันนั้นผ่านมาสิบปีแล้วก็ไม่เคยเจออบัติเหตุหรือเหตุการณ์หวาดเสียวอีกเลย..
ที่ชุมพรนั้นไปเที่ยวมาสามครั้งแล้ว ตอนนั้นยังใช้กล้องฟีล์มอยู่ เปลี่ยนมาใช้กล้องดิจิต้อนเมือตอนที่ไปเที่ยว น่าน จากนั้นก็ขัไปเที่ยว อีสาน เลาะริมโขงจากเชียงคานสู่โขงเจียม เริ่มที่อำเภอเชียงคานไปอำเภอสังคมหนองคาย,ยโสธร,มุกดาหาร,สิ้นสุดที่โขงเจียม อุบล ลงใต้ขับรถไปเที่ยว สามทะเลฝัน อันดามันมิรู้ลืม ทะกระบี่,ตรัง,สตูล แล้วย้อนกลับไป เที่ยวถิ่นอีสานเยือนบ้านไดโนเสาร์ เที่ยวภูเวียง,ขอนแก่น,กาฬสิน,สกลนคร กับไปสมุยอีกครั้ง กับการตามรอยวันหวาน เติมเต็มฝันที่สมุย เป็นไงละฟังแค่ชื่อพอจะเคลิ้มหรือยัง ถ้ายังก็นี่เลย..เยือนเกาะสวรรค์สิมิลัน-สรินทร์ เพิ่งไปเที่ยวมาเมื่อตอนปิดเทอมใหญ่เดือนมีนาปีนี้เอง.....
ครั้งหน้าขอเริ่มเรื่องเลยละกัน เอ...เริ่มเรื่องใหนก่อนดีเนี่ย.........
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ไปทำไมกับทัวร์..รถเราก็มี ขับรถเที่ยวเอง,พักเอง,กินเอง,แต่..
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไปเที่ยวกับทัวร์ไม่มีดีเลย เมื่อก่อนผมกับแฟนก็เที่ยวกับทัวร์ทั้งเชียงใหม่,แม่ฮ่องสอน และลงใต้ไปภูเก็ต,เกาะสิมิลัน,ล่องอ่าวพังงาไปมาแล้วครับ จากนั้นก็ลองไปเที่ยวเองบ้างด้วยการนั่งรถทัวร์โดยสาร ขณะนั้นยังไม่มีรถ (กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว) ครั้งแรกไปเที่ยวกระบี่,ถำพระนาง,หาดไร่เล,เกาะปอดะและเกาะรอบๆ,ข้ามไปเกาะพีพี ครั้งหลังไปเกาะสมุยอีก ทำให้เห็นความแตกต่างหลายอย่างระหว่างไปกับทัวร์กับไปเอง แต่อย่างที่สำคัญที่สุดที่นักเดินทางเห็นเหมือนกันก็คือ..มันเหมือนการได้"ผจนถัย" อย่างหนึ่ง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประสพการณ์ของแต่ละคน
ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มเที่ยว...เอ่อ ก็...เมื่อสิบสี่,สิบห้าปีมาแล้ว...ประ สพการณ์น้อยมาก ทำให้เจอเรื่องตื่นเต้นหลายเรื่อง พอจะรู้นะว่าถ้าทุกอย่างราบรื่นเป็นปรกติก็คงไม่มีอะไรตื่นเต้นแน่ เรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นที่จริงส่วนใหญ่มันก็คือ"ปัญหา"นั่นแหล่ะ ชึ่งจะไม่มีหรือมีน้อยมากถ้าไปเที่ยวกับทัวร์
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ เริ่มจะมีสตางค์พอที่ไปดาวน์รถยนต์มาใช้สักคัน...คือแฟนกำลังท้องใหญ่ขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ไปทำงานคงไม่ไหวแล้ว พอซื้อรถได้ไม่กี่เดือนฟองสบู่ต้มยำกุ้งก็แตกโพ๊ะ แต่โชคดี...เอ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นเพราะวางแผนการใช้เงินมาดีหอสมควร จึงรอดมาได้แบบไม่บอบชำ วางแผนอย่างไรหรอ? เรื่องง่ายๆนะแล้วผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลัง เรื่องเจ้ารถคันนี้ก็เหมือนก้น มีเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโชว์รูม
วันนี้ขอพอเท่านี้ก่อน..........แล้วจะมาเล่าต่อ
สวัสดีครับ.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)